วัสดุปลูก และภาชนะปลูกกล้วยไม้

วัสดุปลูก ( media ) และภาชนะปลูก ( containers )
         กล้วยไม้มีความจำเป็นสำหรับใช้ห่อหุ้มส่วนของราก และมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของระบบราก รากทำหน้าที่ลำเลียงน้ำ และแร่ธาตุ ( translocation ) ไปยังส่วนของลำต้นเพื่อให้ต้นเจริญเติบโต และพัฒนาออกดอก และให้ผล (ฝัก)

            นอกจากนี้ กล้วยไม้ประเภทรากอากาศ   และกึ่งอากาศ
( epiphyte ) มีหน้าที่ แตกต่างจากพืชตระกูลอื่น ๆ  กล่าวคือ เซลรากกล้วยไม้มีคลอโรฟิลล์ (chlorophylls) จึงสามารถสร้างอาหารเองได้โดยวิธีการสังเคราะห์แสง ( photosynthesis ) อาหารที่รากสร้างขึ้นจะนำไปใช้ในกระบวนการต่าง ๆ (metabolism) ในส่วนของรากเองและส่วนอื่น ๆ ที่ไม่มีการสังเคราะห์แสง

วัสดุปลูก หรือเครื่องปลูก

           มีหน้าที่ให้รากเกาะยึด เพื่อให้ลำต้นตั้งตรง ไม่โอนเอนหรือล้ม วัสดุปลูกยังทำหน้าที่ สำหรับเก็บความชื้น และธาตุอาหาร เพื่อให้รากดูดไปใช้ ขณะเดียวกันวัสดุปลูก ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการระบายน้ำ และการถ่ายเทอากาศรอบ ๆ ระบบราก การพิจารณาเลือกวัสดุปลูก ต้องคำนึงถึงคุณสมบัติดังนี้

    1. ช่วยให้ระบบรากและต้นกล้วยไม้เจริญงอกงามดี
    2. หาได้ง่าย
    3. ราคาไม่แพงนักหรือราคาเหมาะสม
    4. ทนทานไม่ย่อยสลายเร็วเกินไป
    5. ปราศจากสารพิษเจือปน
    6. สะดวกต่อการใช้ปลูก

ชนิดและคุณสมบัติของวัสดุปลูกที่ใช้ต้องคำนึงถึงลักษณะการเจริญเติบโตของต้นกล้วยไม้ ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

1. กล้วยไม้รากอากาศ และกึ่งอากาศ ( epiphytes ) กล้วยไม้ประเภทนี้ต้องการวัสดุปลูกที่มีการถ่ายเทอากาศ และการระบายน้ำที่ดี โดยเฉพาะกล้วยไม้รากอากาศซึ่งมีรากขนาดใหญ่ ได้แก่ กล้วยไม้สกุลแวนด้า ( Vanda spp. ) สกุลช้าง ( Rhynchostylis spp. ) สกุลเข็ม ( Ascocentrum spp. ) สกุลกุหลาบ ( Aerides spp. ) ฯลฯ กล้วยไม้พวกนี้ต้องการการถ่ายเทอากาศ และการระบายน้ำที่ดีมาก กล่าวคือ ขนาดวัสดุปลูกต้องมีขนาดใหญ่และไม่อุ้มน้ำมากนัก และถ้าสามารถรดน้ำได้ บ่อยๆ หรือบริเวณที่ปลูกเลี้ยงมีความชื้นสูงพอก็ไม่ต้องใช้วัสดุปลูก วัสดุปลูกที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ได้แก่

          1.1 ออสมันด้า เป็นรากเฟิร์นสกุลออสมันด้า ( Osmunda spp. ) มีลักษณะเป็นเส้นฝอย ( fiber ) มีข้อดี คือ มีการถ่ายเทอากาศและการระบายน้ำดีมากแม้ว่าจะอัดแน่น จึงไม่มีปัญหาเรื่องให้น้ำมากเกินไป เก็บน้ำได้ดีประมาณ 140% ของน้ำหนักตัวเอง มีธาตุอาหารเป็นองค์ประกอบซึ่งรากกล้วยไม้สามารถจะดูดไปใช้ได้และมีน้ำหนักเบา จึงสะดวกในการเคลื่อนย้าย แต่มีข้อเสียคือ หาได้ยาก ราคาแพง และใช้งานยากเนื่องจากต้องตัดแยกเสียเวลานาน ออสมันด้าใช้ได้ดีกับกล้วยไม้รากอากาศและกึ่งอากาศทุกชนิด แต่เนื่องจากมีราคาแพงมากจึงมักนิยมใช้กับกล้วยไม้ที่มีราคาแพง และต้นกล้าของกล้วยไม้รากอากาศ ซึ่งรากมีขนาดใหญ่และต้องการการถ่ายเทอากาศ และการระบายน้ำที่ดี

          1.2 ถ่าน เป็นวัสดุปลูกที่ได้จากการเผาไม้เนื้อแข็งมีธาตุคาร์บอนเป็นองค์ประกอบไม่มีแร่ธาตุอื่น ๆ เมื่อนำมาใช้เป็นวัสดุปลูกจึงจำเป็นต้องใส่ปุ๋ยให้ครบถ้วน ถ่านไม่ย่อยสลายมีน้ำหนักเบา ไม่มีปัญหาเรื่องรดน้ำเนื่องจากมีการระบายน้ำดี ถ่านเป็นวัสดุปลูกที่มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของราก และต้นกล้วยไม้รองจากออสมันด้า แต่มีข้อที่ดีกว่าคือ ราคาไม่แพงนัก และสะดวกในการใช้ปลูก ถ่านที่ใช้จะทุบให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 0.5-2 เซนติเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของราก ถ้ารากมีขนาดเล็กก็ใช้ถ่านที่มีขนาดเล็ก

          1.3 กาบมะพร้าว เป็นวัสดุปลูกที่มีราคาถูกและหาได้ง่าย จึงนิยมใช้ในการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้เป็นส่วนใหญ่โดยเฉพาะเพื่อการค้า ข้อเสียของกาบมะพร้าวคือ ถ้ารดน้ำมากเกินไปกาบมะพร้าวจะอุ้มน้ำไว้มาก และอาจทำให้รากเน่าได้ง่าย นอกจากนี้ กาบมะพร้าวย่อยสลายเร็วจึงต้องเปลี่ยนวัสดุปลูกบ่อย ๆ การปลูกด้วยกาบมะพร้าวสามารถตัดขนาดต่าง ๆ ได้ตามต้องการ จึงไม่จำเป็นต้องใส่ในภาชนะปลูกอีกทีหนึ่ง รูปร่างและขนาดของกาบมะพร้าวที่ใช้มีดังนี้

               1.3.1 ลูกอัดกาบมะพร้าวขนาดประมาณ 1 นิ้ว ใช้ปลูกลูกกล้วยไม้ที่เพิ่มเอาออกจากขวดหรือจากกระถางหมู่

               1.3.2 ลูกอัดกาบมะพร้าวขนาดประมาณ 4 นิ้ว และใช้ลวดรัดไว้กับต้นที่โตพร้อมจะออกดอกหรืออาจจะใส่ลงกระถางขนาด 4 นิ้วอีกทีหนึ่ง

               1.3.3 กาบมะพร้าว ใช้วางบนโต๊ะแล้วเอาต้นกล้วยไม้วางข้างบน อาจจะเจาะรูบนกาบมะพร้าวเพื่อฝังต้นไม่ให้ล้ม หรือใช้เลือก ลวด หรือสายโทรศัพท์ ขึงเป็นแนวยาวตามความยาวงโต๊ะแล้วใช้ลวดรัดต้นกับเชือก วิธีนี้มักใช้ในการปลูกกล้วยไม้สกุลหวายเพื่อตัดดอก

               1.3.4 กระบะกาบมะพร้าวขนาด 24x32 ตารางเซนติเมตร ใช้กับต้นที่โตพอสมควรแต่ละกระบะจะปลูกได้ 4-5 ต้น แล้วางกระบะลงบนโต๊ะให้แต่ละกระบะมีระยะห่างพอสมควร วิธีนี้ใช้ในการปลูกกล้วยไม้สกุลหวายเพื่อตัดดอก

          1.4 อิฐหักหรือกระถางแตก เก็บความชื้นได้ดี ไม่ย่อยสลายแต่มีน้ำหนักมาก ทำให้ใช้แรงงานมากในการปลูกและการเคลื่อนย้าย นอกจากนี้ถ้าตั้งต้นกล้วยไม้บนโต๊ะหรือแขวนบนราว โครงสร้างของโต๊ะที่วางหรือราวที่ใช้แขวนต้องมีความแข็งแรงมากกว่าการใช้ออสมันด้าหรือถ่าน ซึ่งทำให้ต้นทุนโครงสร้างสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องตะไคร่น้ำขึ้นที่ผิววัสดุปลูกและรากกล้วยไม้ ถ้าบริเวณที่ปลูกมีความชื้นสูงมากทำให้ประสิทธิภาพการสังเคราะห์แสงของรากลดลง กล้วยไม้จึงไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร ดังนั้นวัสดุปลูกพวกนี้จึงมักใช้กับกล้วยไม้ที่ตั้งอยู่บนพื้นดินเป็นแปลงใหญ่เพื่อช่วยระบายน้ำ

          1.5 โฟม เป็นวัสดุเหลือใช้ที่ใช้ห่อหุ้มสินค้า ตัดให้มีขนาดพอเหมาะแล้วใส่ในกระถางแทนวัสดุปลูกอื่น ๆ มีผู้ปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ใช้โฟมเป็นวัสดุปลูกปรากฏว่าการเจริญเติบโตไม่แตกต่างจากการใช้วัสดุปลูกอื่น ข้อดีของโฟมคือ มีน้ำหนักเบา ไม่อุ้มน้ำแต่ช่องว่างระหว่างก้อนโฟมสามารถเก็บความชื้นได้ดี มีความยืดหยุ่นทำให้ยืดต้นได้ดีไม่โอนเอน และรากสามารถแทงผ่านก้อนโฟมได้ นอกจากนี้มีราคาถูกมาก หรืออาจจะได้เปล่าและช่วยลดปริมาณขยะจากโฟม

2. กล้วยไม้ดิน ( terestrials ) พบขึ้นอยู่ตามพื้นดินที่ปกคลุมด้วยอินทรีย์วัตถุ ( organic matter ) ดังนั้น วัสดุปลูกที่ใช้ คือ ดินร่วนผสมปุ๋ยอินทรีย์และอาจมีถ่านหรืออิฐหักปนบ้างเพื่อให้มีการระบายน้ำที่ดีขึ้น

ภาชนะปลูก

          ภาชนะปลูกกล้วยไม้ควรจะมีขนาดเหมาะสมกับต้นกล้วยไม้กล่าวคือ ถ้าต้นมีขนาดเล็กต้องใช้ภาชนะขนาดเล็ก ถ้าใช้ภาชนะที่ใหญ่เกินไปต้นจะเน่าแฉะตาย เนื่องจากการระบายน้ำและการถ่ายเทอากาศไม่ดี นอกจากนี้ถ้าต้นเล็กปลูกในภาชนะขนาดเล็กจะออกดอกเร็วกว่าการปลูกในภาชนะขนาดใหญ่

          หลังจากปลูกเลี้ยงกล้วยไม้หลาย ๆ ปี ควรจะเปลี่ยนวัสดุปลูก และภาชนะปลูกใหม่ เนื่องจากต้นกล้วยไม้อาจจะเจริญเติบโตล้นกระถางออกมา หรือวัสดุปลูกเก่าผุ มีตะไคร่ขึ้นอาจจะสะสมโรคและแมลง ทำให้ต้นกล้วยไม้เจริญเติบโตไม่ดีเท่าที่ควร ถ้าได้เปลี่ยนใหม่จะเจริญเติบโตดีขึ้น สำหรับกล้วยไม้สกุลแวนด้า สกุลช้าง และสกุลฟาแลนน๊อปซิส ไม่ควรตัดรากเก่าและไม่ให้รากหัก เพราะจะทำให้ชะงักการเจริญเติบโต ดังนั้นกล้วยไม้กลุ่มนี้จึงไม่ควรเปลี่ยนกระถาง แต่ควรใส่ซ้อนลงในกระถางใหม่ที่ใหญ่ขึ้น

ชนิดของภาชนะปลูกจำแนกได้ดังนี้

1. ปลูกเลี้ยงแบบธรรมชาติ กล้วยไม้รากอากาศ และกึ่งอากาศสามารถปลูกโดยมัดรากให้เกาะกับเปลือกท่อนไม้ หรือใช้หมากฝรั่งที่รับประทานแล้วติดลำต้นกับเปลือกท่อนไม้ซึ่งสะดวกและอยู่ได้อย่างถาวร กิ่ง หรือลำต้นหลังจากปลูกต้องรดน้ำให้ชื้นเสมอ หรือปลูกในช่วงฤดูฝน เพียง 2-3 เดือนรากก็จะเจริญยืดยาวไปตามเปลือกไม้ และเกาะยึดแน่น จากนั้นจึงเอาเชือกหรือลวดที่รัดรากไว้ออก สำหรับกล้วยไม้ดินก็สามารถปลูกในแปลงดินได้แต่ต้องดูเรื่องการระบายน้ำ และสามารถควบคุมการให้น้ำได้ เนื่องจากในช่วงพักตัวจะไม่ต้องการน้ำ

          นอกจากนี้มีการเลี้ยงแบบปล่อยให้เกาะอยู่ตามต้นไม้ที่มีชีวิต โดยอาจใช้กาบมะพร้าวหุ้มรากให้ติดกับต้นไม้ การเลี้ยงแบบนี้จะต้องเลือกต้นไม้ให้กับกล้วยไม้ คือ ต้นไม้ที่จะให้กล้วยไม้เกาะจะต้องเป็นไม้ใหญ่ที่มีผิวหรือเปลือกที่มีคุณสมบัติไม่ลื่นเป็นมัน และสามารถดูดความชื้นได้ดีพอสมควร

ต้นไม้ใหญ่
ท่อนไม้ที่มีเปลือก

2.กระเช้า

กระเช้าไม้
          ควรใช้กระเช้าไม้สักเนื่องจากมีความคงทนกว่าไม้ชนิดอื่น ขนาดของกระเช้าก็เลือกให้เหมาสมกับขนาดของต้น กระเช้าไม้เหมาะกับกล้วยไม้รากอากาศ เนื่องจากมีความโปร่งจึงระบายน้ำ และถ่ายเทอากาศดี อาจใช้ถ่านทุบใส่เป็นวัสดุปลูกเพื่อเก็บความชื้น แต่ถ้าบริเวณที่ปลูกเลี้ยงมีความชื้นเพียงพอ ก็ไม่จำเป็นต้องใส่วัสดุปลูกเลย ส่วนกล้วยไม้รากกึ่งอากาศเช่น สกุลหวาย
( Dendrobium spp. ) ประเภทแคทลียา ( Cattleya alliance ) และสกุลออนซิเดียม ( Oncidium spp. ) สามารถปลูกในกระเช้าไม่ได้เช่นกัน แต่ต้องมีถ่านทุบใส่เพื่อช่วยเก็บรักษาความชื้นบริเวณราก ในปัจจุบันมีการผลิตกระเช้าพลาสติกมีสีสันให้เลือกหลายสี และมีรูปร่าง และขนาดใกล้เคียงกับกระเข้าไม้ ซึ่งก็สามารถใช้เป็นภาชนะปลูกได้ดี แต่ความคงทนขึ้นอยู่กับคุณภาพของพลาสติก

กระเช้าพลาสติก
          เป็นกระเช้าที่ทำจากพลาสติกสีดำ ราคาถูก มีหลายแบบ หลายขนาด แต่ที่นิยมใช้มี 2 ขนาด คือ ขนาดทรงเตี้ยใช้ปลูกกล้วยไม้แวนด้า และ ขนาดทรงสูงใช้ปลูกกล้วยไม้หวาย ลักษณะการปลูกเช่นเดียวกับกระถางดินเผาทรงเตี้ยและกระถางดินเผาทรงสูง

กระเช้าไม้สัก
กระเช้าพลาสติก

3. กระถางดินเผา กระถางที่ใช้กับกล้วยไม้รากอากาศและกึ่งอากาศจะมีการเจาะรูด้านล่างและด้านข้าง เพื่อการระบายน้ำและการถ่ายเทอากาศรอบ ๆ วัสดุปลูกขนาดของกระถางที่ใช้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 1.5 นิ้ว 2 นิ้ว 3 นิ้ว 4 นิ้ว 5 นิ้ว และใหญ่กว่านี้ นอกจากนี้ยังมีกระถางทรงสูงและทรงเตี้ย วัสดุปลูกที่นิยมใช้กับกระถางดินเผา คือ ถ่านทุบ ออสมันด้า และกาบมะพร้าว ส่วนกล้วยไม้ดินจะปลูกในกระถางดินเผาที่ใช้ปลูกต้นไม้ทั่ว ๆ ไป ซึ่งกระถางจะเจาะรูระบายน้ำเฉพาะที่ก้นกระถาง ในปัจจุบันมีการผลิตกระถางพลาสติกมีสีสันให้เลือกหลายสี และมีรูปร่างและขนาดใกล้เคียงกับกระถางดินเผา ซึ่งก็สามารถใช้เป็นภาชนะปลูกได้ดี แต่ความคงทนขึ้นอยู่กับคุณภาพของพลาสติก

กระถางดินเผาทรงเตี้ย

กระถางดินเผาทรงเตี้ย
          เป็นกระถางดินเผาขนาดปากกว้าง 4-6 นิ้ว สูง 2-4 นิ้ว เจาะรูที่ก้น และรอบกระถาง เหมาะกับกล้วยไม้รากอากาศ เช่น กล้วยไม้สกุลแวนด้า สกุลเข็ม สกุลกุหลาบ สกุลช้าง การปลูกไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องปลูกใดๆ หรืออาจใส่ถ่านไม้ มะพร้าวสับ วางให้โปร่งก็พอ วางต้นกล้วยไม้กลางกระถางแล้วใช้เชือกหรือลวดเส้นเล็กๆ ผูกติดกับก้นกระถาง

กระถางดินเผาทรงสูง

กระถางดินเผาทรงสูง
          เป็นกระถางดินเผาขนาดปากกว้าง 3-4 นิ้ว สูง 4-5 นิ้ว เจาะรูที่ก้น และรอบกระถางแต่รูน้อยกว่ากระถางทรงเตี้ย เหมาะกับกล้วยไม้ที่ต้องการเครื่องปลูกหรือกล้วยไม้รากกึ่งอากาศ เช่น คัทลียา หวาย โดยปลูกด้วยกาบมะพร้าวอัดเรียงตามแนวตั้งจนแน่น ยึดรากและโคนกล้วยไม้ตรงกลางกระถางให้แน่น

กระถางดินเผามีรูก้นกระถาง

กระถางดินเผามีรูก้นกระถาง
          เป็นกระถางดินเผาชนิดเดียวกับที่ใช้ปลูกต้นไม้ทั่วไป มีรูระบายน้ำอยู่ที่ก้นกระถางเพียงรูเดียว ทั้งแบบทรงสูงทั่วไป และแบบทรงเตี้ย มีขนาดตั้งแต่ 4-10 นิ้ว นิยมใช้ปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากกึ่งดิน เช่น กล้วยไม้สกุลรองเท้านารี สกุลเอื้องพร้าว สกุลคูลู และสกุลสเปโธกล๊อตติส

4. กาบมะพร้าว สามารถนำมาเป็นวัสดุปลูกได้หลายรูปแบบ โดยตัดเป็นรูปต่าง ๆ ตามความต้องการ หรืออาจจะใช้ลูกมะพร้าวทั้งลูก


Top