ขั้นตอนการผสมเกสร
ต้องเคาะเกสรตัวผู้ของดอกที่ต้องกให้ผสมเกสรหรือให้ถือฝักออกเสียก่อนทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีการผสมตัวเองขึ้นได้
แล้วจึงเคาะเอาเกสรตัวผู้จากดอกของอีกต้นหนึ่งซึ่งถือเป็นพ่อพันธุ์มาทำการผสม
ก่อนจะเคาะเกสรตัวผู้ของต้นพ่อออกมาผสมนั้น
หากเป็นกล้วยไม้ประเภทไม่แตกกอเมื่อใช้ปลายไม้จิ้มฟันที่สะอาดสะกิดตรงจะงอยที่ส่วนล่างของฝาครอบเกสรตัวผู้ซึ่งอยู่ตรงปลายเส้าเกสรออก
จะพบจานซึ่งมีลักษณะเป็นเยื่อบาง ๆ จะดูดติดปลายไม้ออกมา
และดึงเอาเกสรตัวผู้ซึ่งมีอยู่ 1 คู่ติดออกมาด้วย
ใช้มือสะอาดค่อย ๆ ปลดเอาเกสรตัวผู้จากปลายไม้วางลงบนกระดาษ
หรือในอุ้งมือที่สะอาด แล้วใช้ไม้จิ้มฟันเขี่ยน้ำเหนียว
ๆ จากยอดเกสรตัวเมียของดอกอื่น แล้วนำปลายไม้มาแตะที่เกสรตัวผู้ในอุ้งมือนั้น
น้ำเหนียวที่ปลายไม้จะช่วยทำให้เกสรตัวผู้ติดปลายไม้ขึ้นมาได้ง่าย
แล้วจึงนำปลายไม้ที่มีเกสรตัวผู้ติดอยู่ไปวางใส่ในแอ่งเกสรตัวเมียซึ่งเป็นยอดของเกสรตัวเมียที่อยู่ส่วนใต้ของปลายเส้าเกสรของดอกที่ประสงค์จะให้ถือฝัก
และได้เคาะเอาเกสรตัวผู้ของตัวเองออกไปหมดแล้ว
การที่ต้องปลดเอาเกสรตัวผู้ออกจากปลายไม้เสียก่อนก็เพราะว่าถ้าใช้ปลายไม้เคาะเกสรตัวผู้พวกกล้วยไม้ประเภทไม่แตกกอแล้วนำไปใส่ในแอ่งของตัวเมียโดยตรง
ขณะชักปลายไม้ออกเกสรตัวผู้จะติดกลับออกมาด้วย
เนื่องจากเยื่อทีมีลักษณะคล้ายจานซึ่งอยู่ที่ก้านเกสรตัวผู้นั้นจะติดปลายไม้อย่างแน่นหนา
ส่วนการผสมเกสรกล้วยไม้ประเภทแตกกอนั้นจะต้องระมัดระวังไปคนละแง่
คือ เนื่องจากเกสรตัวผผู้ของกล้วยไม้ประเภทนี้ไม่มีเยื่อที่ก้านที่จะดูดติดปลายไม้ได้เลย
ถ้าหากใช้ปลายไม้ไปเปิดฝาครอบเกสรตัวผู้ออกทำให้เกสรตัวผู้
หรือทั้งฝาครอบด้วยอาจจะตกลงสู่พื้นดิน
ทำให้สกปรก หรือสูญหายได้
ดังนั้นก่อนที่จะเคาะเกสรตัวผู้ของกล้วยไม้ประเภทนี้เพื่อนำไปผสมพันธุ์จึงควรใช้อุ้งมือที่สะดอาดรองรับอยู่ใต้ดอก
หากเกสรหลุดตกก็จะหล่นอยู่ในอุ้งมือ แล้วจึงใช้ปลายไม้แตะน้ำเมือกเหนียว
ๆ จากยอดเกสรตัวเมียของดอกอื่น นำปลายไม้มาแตะที่เกสรตัวผู้ซึ่งอยู่ในอุ้งมือนั้น
เกสรตัวผู้ก็จะติดน้ำเหนียว ๆ ไปกับปลายไม้
และนำไปผสมโดยวางลงในแอ่งยอดเกสรตัวเมียของดอกที่ต้องการผสม
หลังจากผสมเกสรประมาณ
12 ชั่วโมง แอ่งยอดเกสรตัวเมียจะขยายตัวใหญ่ขึ้น
น้ำเหนียว ๆ ในแอ่งจะข้นคล้ายแป้งเปียก
และปริมาณเพิ่มขึ้น สีของดอกจะซีดลง และดอกจะเหี่ยว
ถ้าผสมไม่ติด ดอกจะร่วงหลุดไป ถ้าผสมติดก้านดอกส่วนที่เป็นรังไข่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว
และขยายตัวเจริญไปเป็นฝักแม้ว่าจะผสมติด
แต่บางครั้งฝักจะเหลือง และร่วงก่อนแก่
ส่วนฝักที่เจริญก็อาจจะอยู่จนแก่ แต่ไม่มีเมล็ดอยู่ภายใน
หรือมีเมล็ดอยู่บ้างเล็กน้อย หรือมีเมล็ดสมบูรณ์มากมาย
ในช่วงที่กลีบดอกเหี่ยวนั้น ควรใช้กรรไกรเล็ก
ๆ ตัดออก เพราะถ้าปล่อยไว้ให้ถูกน้ำอาจเน่า
และเกิดเชื้อราลุกลามเข้าไปทำลายดอก ซึ่งได้รับการผสมเสร็จใหม่
ๆ ได้ง่าย
ส่วนการเปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่การผสมเกสร
การถือฝัก จนถึงฝักแก่จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
เช่น ความแตกต่างทางพันธุกรรมของต้นพ่อแม่ที่นำมาผสมเกสร
สภาพความสมบูรณ์ของต้น การดูแลรักษา และสภาพแวดล้อม
เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และแสงสว่าง สำหรับการถือฝักนั้น
ถ้าเป็นฝักกล้วยไม้ประเภทแตกกอก้านฝักจะห้อย
ทำให้ปลายฝักชี้ลงด้านล่าง ถ้าเป็นฝักกล้วยไม้ประเภทไม่แตกกอ
ก้านฝักจะตั้งแข็ง ทำให้ปลายฝักชี้ขึ้นด้านบน
อายุของฝักนับตั้งแต่ผสมเกสรจนถึงวันที่เมล็ดแก่ตามธรรมชาติ
จะมีระยะเวลาเร็วช้าแตกต่างกันตามชนิดของกล้วยไม้
และตามสภาพแวดล้อม เช่น หวายฟอร์มกลม และหวายกลีบแคบลุกผสม
ใช้เวลา 4 - 5 เดือน สกุลกุหลาบ และแวนด้าลูกผสม
ใช้เวลา 7 - 10 เดือน สกุลช้าง ใช้เวลา
10 - 14 เดือน แวนด้าฟ้ามุ่ย ใช้เวลา 16
- 18 เดือน เป็นต้น เมื่อฝักแก่ผิวฝักซึ่งแต่เดิมเป็นสีเขียว
จะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง แล้วเป็นสีน้ำตาลในที่สุด
แต่การเก็บฝักมาเพาะในปัจจุบันไม่นิยมปล่อยทิ้งไว้จนแก่จัด
ซึ่งอายุของฝักที่จะนำมาเพาะได้ดีควรมีอายุประมาณ
2 ใน 3 ของอายุฝักแก่ เช่น แวนด้าลูกผสมทั่วไป
ควรเก็บฝักมาเพาะเมื่ออายุ 5 - 6 เดือน
ฟ้ามุ่ย 10 - 12 เดือน เป็นต้น แต่ทั้งนี้จะถือเป็นเกณฑ์ที่ตายตัวไม่ได้
สำหรับฝักอ่อนที่ตัดมานั้น ถ้าเป็นไปได้
เมื่อตัดมาแล้วรควรเพาะทันที ถ้าจำเป็นต้องเก็บไว้
ควรห่อด้วยกระดาษนิ่มแล้วใส่ถุงรัดปากถุงให้แน่น
เก็บไว้ในช่องเก็บผักของตู้เย็น หากทิ้งไว้ในสภาพอากาศร้อยเมล็ดอ่อนภายในฝักอาจตายได้
การเพาะเมล็ดกล้วยไม้
แต่เดิมการเพาะเมล็ดกล้วยไม้จะใช้วิธีโรยเมล็ดรอบ
ๆ โคนต้นกล้วยไม้ เพื่อให้เชื้อราที่อยู่รอบ
ๆ ต้นสามารถเจริญเข้าไปในเมล็ดให้อาหารแก่คัพภะ
(embryo)
ทำให้เมล็ดสามารถงอกได้ ซึ่งในเมล็ดกล้วยไม้มีอาหารสะสมอยู่น้อยไม่เพียงพอต่อการงอก
ถ้าไม่ใช้วิธีนี้เมล็ดก็จะไม่งอก วิธีนี้เป็นการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
โดยเชื้อราได้ที่อยู่อาศัย และเมล็ดก็ได้รับอาหาร
แต่การเพาะเมล็ดโดยวิธีนี้จะให้การงอกไม่ดี
และค่อนข้างจำกัด จนกระทั่งได้ค้นพบ และประสบความสำเร็จในการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ในอาหารสังเคราะฆ่าเชื้อที่อยู่ภายในหลอดแก้ว
ซึ่งอาหารประกอบด้วยแร่ธาตุหลายชนิด น้ำตาล
และวุ้น โดยไม่ต้องอาศัยเชื้อรา วิธีนี้จะทำให้เปอร์เซ็นต์การงอกของเมล็ดสูงกว่าวิธีเดิมมาก
ส่งผลให้การผสมพันธุ์กล้วยไม้เจริญก้าวหน้ารวดเร็วขึ้น
และการปรับปรุงพันธุ์กล้วยไม้ก็ทำควบคุ่ไปกับการเพาะเมล็ดบนอาหารสังเคราะห์ในสภาพปลอดเชื้อดังกล่าว
การเพาะเมล็ดกล้วยไม้ทำได้ด้วยการเพาะโดยใช้อาหารที่มีแร่ธาตุ
และน้ำตาลที่จำเป็นต่อการงอกของเมล็ด ซึ่งอาหารที่สามารถนำมาเพาะเมล็ดได้นั้มีหลายสูตรด้วยกัน
แต่สูตรที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย คือ
สูตร Modified
Vacin and Went ( 1949 ) เนื่องจากใช้สารเพียงไม่กี่ตัวจึงเตรียมได้ง่าย
สะดวก และมีราคาถูก โดยใส่วุ้นลงไปเพื่อให้อาหารแข็ง
และต้องทำในสภาพที่ปลอดเชื้อ โดยฆ่าเชื้อด้วยการนึ่งในหม้อความดันไอน้ำ
15 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว นาน 20 นาที ซึ่งเมล็ดกล้วยไม้สามารถเพาะได้
2 วิธี คือ การเพาะฝักอ่อน และการเพาะเมล็ดแก่
สำหรับองค์ประกอบของสารเคมีในสูตร
Modified Vacin and Went ( 1949 )
มีดังนี้
ชื่อและสูตรสารเคมี ปริมาณที่ใช้ในอาหาร
1 ลิตร
แคลเซียมฟอสเฟต ( Ca3 (Po4)2) 200
มิลลิกรัม
โปแตสเซียมไนเตรท (KNO3)
525
มิลลิกรัม
โปแตสเซียมไดไฮโดรเจนฟอสเฟต (KH2PO4)
250 มิลลิกรัม
แมกนีเซียมซัลเฟต (MgSO4.7H2O) 250
มิลลิกรัม
เฟอร์รัสซัลเฟต (FeSO4.7H2O) 27.85
มิลลิกรัม
ไดโซเดียมเอทธิลีนไดอามีนเตตราอะซีเตท
(Na2EDTA) 37.25
มิลลิกรัม
แมงกานีสซัลเฟต (MnSo4.H2O)
5.70 มิลลิกรัม
น้ำตาลซูโครส (Sucrose)
20
กรัม
น้ำมะพร้าว (Coconut water) 150
มิลลิกรัม
วุ้น (Agar) 8
- 10 กรัม
pH ประมาณ 5 - 5.2 |
การเตรียมเมล็ดสำหรับใช้เพาะ
เนื่องจากเชื้อแบคทีเรีย
และเห็ดรามีอยู่ทั่วไปทั้งในดิน น้ำ และอากาศ
และอาจเกาะอยู่ตามฝัก และเมล็ดกล้วยไม้ด้วย
ดังนั้นก่อนที่จะนำเมล็ดกล้วยไม้ไปเพาะลงในวุ้นจึงจำเป็นต้องทำการเตรียมเมล็ดด้วยการทำความสะอาดเสียก่อน
โดยนำไปฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเห็ดรา มีวิธีปฏิบัติดังนี้
1.
ผ่าฝักกล้วยไม้ออกจะมีเมล็ดอยู่ภายในฝัก
เมล็ดกล้วยไม้มีขนาดเล็กมาก เมื่อมองดูด้วยตาเปล่าจะเห็นคล้ายเป็นผงฝุ่นละออง
จากนั้นใช้แว่นขยายตรวจสอบความสมบูรณ์ของเมล็ดกล้วยไม้
ถ้าเป็นเมล็ดกล้วยไม้ที่สมบูรณ์จะมีลักษณะเต่งตึงอย่างเด่นชัด
ส่วนเมล็ดที่ไม่สมบูรณ์จะเพาะไม่งอก ลีบ
ดังนั้นฝักใดมีเมล็ดลีบก็คัดออกไป
2.
นำเมล็ดกล้วยไม้ที่สมบูรณ์ออกจากฝักใส่ลงในขวดเล็ก
ๆ ขนาดความจุประมาณ 15 - 25 ซีซี.
3.
ใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ความเข้มข้น 20
volume ผสมกับน้ำกลั่นในอัตราส่วน
1 : 1 หรือ 1 : 2 เขย่าให้เข้ากัน แล้วเทลงในขวดเมล็ดกล้วยไม้ประมาณ
10 - 15 ซีซี. แล้วสังเกตดู ถ้าเห็นว่าเมล็ดกล้วยไม้ที่ปนอยู่กับน้ำยาไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์หนาแน่น
เมื่อนำไปเพาะลูกกล้วยไม้ที่เกิดขึ้นในวุ้นจะมีปริมาณมากและเบียดเสียดหนาแน่นเกินไปก็ให้เทออกเสียบ้าง
แล้วเติมน้ำยาไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์มีปริมาณพอเหมาะดีแล้ว
จึงปิดขวด และเขย่านานประมาณ 10 - 20 นาที
เพื่อให้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ชำระล้าง และฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
และเห็ดราที่เกาะอยู่กับเมล็ดกล้วยไม้ จากนั้นนำเมล็ดกล้วยไม้ลงไปขวดวุ้นทำการเพาะต่อไป
ขั้นตอนการเพาะ
หมายถึงวิธีการนำเมล็ดกล้วยไม้เข้าไปไว้ในวุ้นในขวด
เพื่อให้เมล็ดกล้วยไม้งอกเป็นต้นกล้วยไม้ต่อไป
ซึ่งมีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้
1.
นำขวดวุ้น และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านการรมยาฆ่าเชื้อมาแล้วเข้าไปไว้ในตู้เพาะ
และปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 1 - 3 ชั่วโมง เพื่อให้แก๊สที่ใช้รมตู้เพาะได้ฆ่าเชื้อโรคพวกแบคทีเรีย
และเห็ดราที่ติดเข้าไป ขวดวุ้นควรเรียงซ้อนกันให้เป็นระเบียบทางด้านซ้ายมือ
2.
ล้างมือให้สะอาดด้วยแอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์
อีกครั้งหนึ่ง และทำการสวมถุงมือยาง ซึ่งได้นึ่งฆ่าเชื้อโรคแล้ว
จากนั้นเอามือทั้งสองข้างสอดเข้าไปในตู้เพาะข้างละรู
ใช้ยางรัดข้อมือติดกับปลายของผ้ารูปทรงกระบอกแบบแขนเสื้อเชิ้ตแขนยาว
ซึ่งปลายปีกข้างหนึ่งติดอยู่กับรูสำหรับใช้มือสอดเข้าไปในตู้เพาะ
3.
จุดตะเกียงแอลกอฮอล์ที่อยู่ในตู้เพาะ จากนั้นให้ใช้มือซ้ายจับขวดวุ้นไว้แล้วใข้นิ้วชี้
และหัวแม่มือขวาจับที่ดูด แล้วบีบดูดเมล็ดกล้วยไม้ซึ่งอยู่ปนกับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เข้าไปไว้ในที่ดูด
ส่วนนิ้วก้อยกับนิ้วนางมือขวาคีบจุดขวดเอาไว้
4.เปิดจุกขวดวุ้นออกมาพร้อม
ๆ กับเอาปากขวดวุ้น อังลนไฟไว้ แล้วสอดที่ดูดเข้าไปในปากขวดวุ้น
และบีบที่ดูดพ่นเมล็ดกล้วยไม้พร้อมทั้งไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เข้าไปในขวดวุ้น
5.
เอาฝาจุกยางอังลนไฟ แล้วปิดฝาขวดทันที ฝาจุกยางนี้เจาะรูขนาด
3 - 5 มิลลิเมตรทะลุ มีสำลีชุบน้ำยาฆ่าเชื้ออุดไว้ตรงรู
เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่วุ้นในขวด
6.จับขวดวุ้นค่อย
ๆ เอียงไปมาให้เมล็ดกล้วยไม้ซึ่งปะปนอยู่กับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ไหลแผ่กระจายไปทั่วผิวหน้าวุ้นในขวด
ทั้งนี้เมื่อเมล็ดกล้วยไม้งอกจะได้กระจายที่วขวดวุ้นอย่างสม่ำเสมอไม่กระจุกอยู่จุดใดจุดหนึ่งมากเกินไป
7.
นำขวดวุ้นที่ได้ทำการเพาะเมล็ดกล้วยไม้
และวางเรียงซ้อนกันไว้ในตู้เพาะอีกด้านหนึ่ง
คือ ทางด้านขวามือ ให้ห่างจากขวดวุ้นที่ยังไม่ได้ทำการเพาะเมล็ดกล้วยไม้
ทำเช่นนี้จนเพียงพอแก่ความต้องการ หรือทำการเพาะจนหมดขวดวุ้นในตู้เพาะ
8.
เมื่อเพาะเมล็ดกล้วยไม้ได้ตามจำนวนที่ต้องการแล้ว
ให้ดับตะเกียงแล้วเปิดตู้เพาะนำขวดวุ้นที่ได้ทำการเพาะเมล็ดกล้วยไม้แล้วออกจากตู้เพาะไปเก็บไว้ในที่ได้เตรียมไว้แล้ว
ซึ่งปกติจะอยู่ในที่ร่มภายในอาคารที่มีแสงสว่างเข้าถึงได้เต็มที่
อากาศถ่ายเทสะดวก ถ้าสถานที่สำหรับเก็บขวดวุ้นมีแสงสว่างน้อยอาจไม่เพียงพอแก่ความเจริญงอกงามของลูกกล้วยยไม้ในขวด
ควรใช้หลอดนีออนไฟฟ้าช่วยเพิ่มแสงสว่างให้มากขึ้น
9.
เขียนรหัส ชื่อพ่อแม่ของลูกกล้วยไม้ ชื่อเจ้าของ
ตลอดวัน เดือน ปี ที่ทำการเพาะแล้วใส่ไว้ในขวด
เพื่อให้ทราบถึงประวัติพ่อแม่ และลูกกล้วยไม้ในขวดนั้น
ๆ
10.
หลังจากเพาะเมล็ดประมาณ 15 - 30 วัน เมล็ดจะเริ่มมีสีเขียว
และขยายตัวเกิดเป็นก้อน protocorms
( คล้ายหัวเผือก ) ถ้า protocorms
อยู่กันแน่นมากก็ให้เคาะภาชนะจนแยกกระจายไปทั่วผิวอาหาร
เพื่อให้ดูดอาหารไปใช้ได้อย่างทั่วถึง แต่ถ้า
protocorms
ยังขึ้นแน่นมากก็แบ่งออกแล้วย้ายลงอาหารขวดใหม่
การถ่ายขวดลูกกล้วยไม้
หลังจากเพาะเมล็ดลงในขวดประมาณ 2 - 3 เดือน
หรือเมื่อต้นกล้วยไม้มีใบให้เห็นชัดเจนโดยไม่จำเป็นต้องมีรากก็ได้
ต้องทำการถ่ายขวดลูกกล้วยไม้ใหม่ เพราะในช่วงนี้อาหารที่อยู่ในขวดเพาะเมล็ดอาจถูกใช้ไปหมด
โดยสังเกตได้จากสีของ
protocorms และสีของต้น และใบจะไม่เขียวสดใส
และเริ่มเติบโตช้า และเนื่องจากลูกกล้วยไม้ที่งอกขึ้นมามักจะอยู่อย่างไม่มีระเบียบ
บางจุดบาง หรือแน่นเกินไป จึงต้องย้ายลูกกล้วยไม้ลงบนอาหารสำหรับต้นกล้าซึ่งได้เพิ่มกล้วยหอมดิบเพื่อเร่งการเจริญเติบโต
สำหรับิธีการถ่ายขวดลูกกล้วยไม้เป็นดังนี้
1. ทำการรมยาตู้เฉพาะด้วยด่างทับทิมและฟอร์มาลินก่อนที่จะดำเนินการถ่ายขวดลูกกล้วยไม้อย่างน้อย
1-3 ชั่วโมง
2.
นำอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ได้นึ่งฆ่าเชื้อแล้ว
ตลอดจนจุกขวดยาง ช้อนสำหรับตักลูกกล้วยไม้ถ่ายขวด
ซึ่งเป็นช้อนด้ามยาวทำด้วยอะลูมิเนียม หรือสแตนเลสปลายช้อนมีรูปร่างแบน
และด้านข้างทำเป็นซี่ ๆ คล้ายส้อม 3 - 4
ซี่ ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการตัดลูกกล้วยไม้ในขวดเพาะ
นำไปวางเรียงในขวดใหม่
3. นำขวดวุ้นที่ใช้เป็นขวดถ่ายวางเรียงซ้อนกันไว้ในตู้เพาะทางซ้ายมือ
และนำขวดลูกกล้วยไม้เข้าไว้ในตู้เพาะ
4. ล้างมือให้สะอาดแล้วสวมถุงยาง
สอดมือทั้งสองข้างเข้าไปในตู้เพาะทางรูตู้เพาะข้างละมือ
แล้วใช้ยางรัดของรดข้อมือติดกับปลายถุงมือ
5.
จุดตะเกียงแอลกอฮอล์ เอาปากขวดเพาะเมล็ดกล้วยไม้
และปากขวดวุ้น (ขวดถ่าย) ลนอังไฟตะเกียง
จากนั้นเปิดจุกขวดวุ้น และจุกขวดเพาะเมล็ดกล้วยไม้ออก
ใช้ช้อนลนอังไฟแล้วนำไปตักลูกกล้วยไม้จากขวดเพาะ
แยกลูกกล้วยไม้ที่เกาะติดกันเหลือเพียงต้นเดียวนำไปวางเรียงกันไว้บนวุ้นในขวดถ่าย
โดยให้ห่างกันเล็กน้อยพอเหมาะจนเต็มขวด
ซึ่งจะมีปริมาณลูกกล้วยไม้ประมาณ 60 - 80
ต้นต่อขวด เสร็จแล้วใช้จุกยางปิดขวดถ่าย
ในขณะที่ทำการถ่ายขวดวุ้นนี้ ควรเอาทั้งปากขวดเพาะ
ปากขวดถ่าย และช้อนลนอังไฟบ่อย ๆ เป็นครั้งเป็นคราวอยู่เสมอ
6.
เมือทำการถ่ายขวดลูกกล้วยไม้หมด หรือถ่ายขวดลูกกล้วยไม้ได้ตามต้องการแล้วให้ดับตะเกียง
จากนั้นเป็นตู้เพาะนำขวดลุกกล้วยไม้ที่ได้ถ่ายขวดใหม่ออกจากตู้เพาะ
เขียนชื่อพ่อแม่ของลูกกล้วยไม้ รหัส วัน
เดือน ปี ที่ได้ทำการถ่ายขวดไว้ แล้วนำไปเก็บไว้ในที่เก็บต่อไป
การเอากล้วยไม้ออกจากขวด
หลังจากทำการถ่ายขวดได้ประมาณ
4 - 5 เดิอน ซึ่งลูกกล้วยไม้ในขวดเจริญเติบโตพอสมควร
มีใบ มีรากดี จึงเอาลูกกล้วยไม้ออกจากขวดเพื่อนำไปปลูกเลี้ยงในกระถางต่อไป
ถ้าปล่อยไว้ในขวดเมื่ออาหารของกล้วยไม้หมดแล้วอาจจะมีราเกิดขึ้นในวุ้นนั้น
ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อลูกกล้วยไม้ได้ วิธีการเอาลูกกล้วยไม้ออกจากขวดมีดังนี้
1. เอาขวดลูกกล้วยไม้ไปวางในเรือนปลูกกล้วยไม้ให้ได้รับแสงน้อยกว่า
50 เปอร์เซ็นต์ ประมาณ 7 วัน เพื่อให้ลูกกล้วยไม้ทนต่อสภาพแวดล้อม
เรือนพวกนี้มีหลังคากันฝนได้ แล้วใช้ถุงพลาสติกรัดปากขวดไว้ป้องกันน้ำเข้า
2.เปิดจุกขวดออกทิ้งไว้ประมาณ
3 - 4 ชั่วโมง แล้วเอาน้ำสะอาดใส่ลงไปประมาณครึ่งขวด
เขย่ายวดเบา ๆ เพื่อให้วุ้นแตก ต้นกล้วยไม้จะลอยขึ้นมา
3.ใช้ลวดตะขอเกี่ยวลูกกล้วยไม้ออกจากขวดใส่กะละมังที่มีน้ำอยู่
แต่ต้องระวังค่อย ๆ ดึงออกมาทีละต้น ๆ เพราะรากหักง่าย
การเอากล้วยไม้ออกจากขวดด้วยวิธีนี้บางครังอาจจะทำให้กล้วยไม้ช้ำได้เพราะจะต้องใช้ลวดดึงออกมามีบางท่านกระทำโดยการทุบขวดเพื่อให้ปากกว้าง
แล้วจึงเทกล้วยไม้ออก ทำให้กล้วยไม้ไม่ช้ำ
แต่ขวดไม่สามารถนำมาใช้ได้อีก
4.เมื่อเอาลูกกล้วยไม้ออกจากขวดหมดแล้วจะต้องล้างวุ้นที่ติดมากับต้น
และรากออกให้หมด การล้างอาจจะต้องกระทำ
2 - 3 ครั้ง เพื่อล้างวุ้นออกให้หมด
5. คัดขนาดแล้วนำไปปลูกลงในกระถาง
ในระยะแรกถ้าต้นยังมีขนาดเล็กมากก็ปลูกรวมกันในกระถางหมู่
หากต้นมีขนาดใหญ่หน่อยก็ย้ายลงปลูกในกระถางนิ้ว
แล้วทำการเลี้ยง และดูแลรักษาเป็นกล้วยไม้เล็กต่อไป
|