ลักษณะทั่วไปของกล้วยไม้

          กล้วยไม้เป็นพืชที่จัดอยู่ใน order Orchidales ซึ่งใน order นี้มีเพียง 4 family สำหรับกล้วยไม้จัดอยู่ใน family Orchidaceae พืชในวงศ์ (family) นี้มีอยู่ประมาณ 753 สกุล (genus) ในแต่ละสกุลยังแบ่งออกเป็นชนิดต่าง ๆ รวมแล้วมีประมาณ 30,000 ชนิด (species) สำหรับในประเทศไทยเป็นแหล่งกำเนิดของกล้วยไม้มากถึง 155 สกุล (genus) ส่วนที่พบและจำแนกแล้วมีถึง 1,100 ชนิด (species)  
        
           กล้วยไม้เป็นพืชที่มีส่วนต่างๆ สมบูรณ์ คือ มีราก ต้น ใบ ดอก และผล รากของกล้วยไม้ไม่มีรากแก้ว ลำต้นไม่มีแก่นไม้ ใบจัดเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวมีเส้นใบขนานกันตามความยาวของใบ ซึ่งมีรายละเอียดของส่วนต่างๆ ดังนี้

ราก


          รากของกล้วยไม้ไม่มีระบบรากแก้ว รากมีหน้าที่ดูดความชื้นจากอากาศ ดูดอาหารจากเครื่องปลูก รากบางชนิดมีสีเขียวซึ่งมีคลอโรฟีลล์ มีหน้าที่ปรุงอาหารได้ด้วย นอกจากนี้รากยังมีหน้าที่เกาะเครื่องปลูก เกาะต้นไม้ เพื่อให้ลำต้นทรงตัวอยู่ได้ รากของกล้วยไม้มีหลายประเภท คือ รากดิน รากกึ่งดิน รากกึ่งอากาศ และรากอากาศ รากแต่ละประเภทจะมีอยู่ในกล้วยไม้สกุลต่าง ๆ เพราะฉะนั้นผู้ปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ควรได้พิจารณาตัดสินใจเลือกใช้เครื่องปลูก และภาชนะปลูกที่มีลักษณะ และคุณสมบัติเหมาะสมกับประเภทของรากด้วย

 

ระบบรากดิน


ระบบรากดิน

          จัดเป็นกล้วยไม้ที่มีระบบรากเกิดจากหัวที่อวบน้ำอยู่ใต้ดิน ตัวรากจะมีน้ำมาก เช่นกล้วยไม้สกุลนางอั้ว กล้วยไม้ประเภทนี้พบมากบริเวณพื้นที่ที่มีสภาพอากาศในฤดูกาลที่ชัดเจน เช่น ฤดูฝนมีฝนตกชุก และมีฤดูแล้ง เมื่อถึงฤดูฝนหัวจะแตกหน่อใบอ่อนจะชูพ้นขื้นมาบนผิวดิน และออกดอกในตอนปลายฤดูฝน เมื่อพ้นฤดูฝนไปแล้วใบก็จะทรุดโทรมและแห้งไป คงเหลือแต่หัวที่อวบน้ำ และมีอาหารสะสมฝังอยู่ใต้ดินสามารถทนความแห้งแล้งได้

ระบบรากกึ่งดิน

          มีรากซึ่งมีลักษณะ อวบน้ำ ใหญ่หยาบ และแตกแขนงแผ่กระจายอย่างหนาแน่น สามารถเก็บสะสมน้ำได้ดีพอสมควร กล้วยไม้ประเภทนี้พบอยู่ตามอินทรีย์วัตถุที่เน่าเปื่อย ผุพังร่วนโปร่ง กล้วยไม้ที่มีระบบรากกึ่งดิน ได้แก่ กล้วยไม้สกุลรองเท้านารี สกุลสเปโธกล๊อตติส สกุลเอื้องพร้าว เป็นต้น

ระบบรากกึ่งดิน

ระบบรากกึ่งอากาศ

 

ระบบรากกึ่งอากาศ

          เป็นระบบรากที่มีเซลล์ผิวของราก มีชั้นเซลล์ที่หนา และมีลักษณะคล้ายฟองน้ำ ผิวนอกเกลี้ยงไม่มีขน มีลักษณะคล้ายฟองน้ำ เก็บ และดูดน้ำได้มาก สามารถนำน้ำไปใช้ตามเซลล์ผิวได้ตลอดความยาวของราก ระบบรากกึ่งอากาศมักมีรากแขนงใหญ่หยาบอยู่กันอย่างหนาแน่น ไม่มีรากขนอ่อน รากมีขนาดเล็กกว่ารากอากาศ กล้วยไม้ระบบรากกึ่งอากาศได้แก่ กล้วยไม้สกุลแคทลียา สกุลออนซิเดี้ยม เป็นต้น

ระบบรากอากาศ

          กล้วยไม้ที่มีระบบรากเป็นรากอากาศ จะมีรากขนาดใหญ่ แขนงรากหยาบ เซลล์ที่ผิวรากจะทำหน้าที่ดูดน้ำ เก็บน้ำและนำน้ำไปตามรากได้เป็นอย่างดี ทำให้สามารภทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี รากอากาศไม่ชอบอยู่ในสภาพเปียกแฉะนานเกินไป นอกจากนั้นปลายรากสด มีสีเขียวของคลอโรฟีลล์สามารถทำหน้าที่ปรุงอาหารได้เช่นเดียวกับใบเมื่อมีแสงสว่าง เพราะฉะนั้นรากประเภทนี้จึงไม่หลบแสงสว่างเหมือนรากต้นไม้ดินทั่วๆ ไป กล้วยไม้ที่มีระบบรากอากาศได้แก่ กล้วยไม้สกุลแวนด้า สกุลช้าง สกุลกุหลาบ สกุลแมลงปอ สกุลเข็ม และกล้วยไม้สกุลเรแนนเธอร่า

ระบบรากอากาศ

ลำต้น

          หมายถึงส่วนที่เป็นข้อ บริเวณส่วนเหนือข้อ และติดอยู่กับข้อจะมีตา ตาอาจจะแตกเป็นหน่ออ่อน กิ่งอ่อน หรือช่อดอกก็ได้ ส่วนที่เป็นข้อเป็นส่วนที่มีใบ กาบใบ หรือกาบของลำต้นที่ไม่มีส่วนของใบเจริญออกมาได้ ส่วนที่อยู่ระหว่างข้อเรียกว่า ปล้อง สำหรับลำต้นของกล้วยไม้ที่โผล่พ้นจากเครื่องปลูกแบ่งได้ 2 ประเภท คือ ลำต้นแท้ และลำต้นเทียม


ลำต้นแท้ ลำต้นเทียม

          คือลำต้นที่มี ข้อ ปล้อง เหมือนกับลำต้นของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวทั่วไป ที่ส่วนเหนือข้อจะมีตา ซึ่งสามารถเจริญเป็นหน่อใหม่ และช่อดอกได้ ลำต้นประเภทนี้จะเจริญเติบโตออกไปทางยอด ได้แก่ กล้วยไม้สกุลแวนด้า แมลงปอ และรองเท้านารี




ลำต้นแท้

 

          หรือที่เรียกว่า ลำลูกกล้วย ทำหน้าที่สะสมอาหาร ตาที่อยู่ตามข้อบน ๆ ของลำลูกกล้วยสามารถแตกเป็นหน่อ หรือช่อดอกได้ แต่ลำต้นที่แท้จริงของกล้วยไม้ประเภทนี้ คือ เหง้า ซึ่งเจริญในแนวนอนไปตามผิวของเครื่องปลูก ลักษณะของเหง้ามีข้อ และปล้องถี่ กล้วยไม้ที่มีลำต้นลักษณะนี้ ได้แก่ กล้วยไม้สกุลหวาย แคทลียา เอพิเด็นดรั้ม และสกุลออนซิเดี้ยม

ลำต้นเทียม

ใบ

          กล้วยไม้เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว คือเส้นใบจะอยู่ในลักษณะขนานกันไปตามความยาวของใบ ใบของกล้วยไม้มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปตามชนิดของกล้วยไม้ นับตั้งแต่รูปร่าง สีสัน ขนาด และการทรงตัวตามธรรมชาติ ลักษณะใบของกล้วยไม้มีหลายชนิด เช่น ใบแบน ใบกลม และใบร่องซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างพวกใบกลมกับใบแบน แต่ใบกล้วยไม้ส่วนมากแล้วจะมีลักษณะแบน การเรียงตัวจะมีทั้งเรียงสลับกัน และเรียงซ้อนทับกัน สีของใบส่วนมากมีสีเขียวอมเหลืองบางชนิดใบมีสีสันลวดลายสวยงาม

           หน้าที่ของใบ คือ สังเคราะห์แสง โดยสารสีเขียวเรียกว่าคลอโรฟีลล์ที่อยู่ภายในใบร่วมกับแสงสว่าง ช่วยให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศผ่านเข้าไปทางรูถ่ายก๊าซของใบ ทำปฏิกิริยากับน้ำเกิดเป็นน้ำตาล นอกจากนี้ใบยังทำหน้าที่คายน้ำออกจากต้น ช่วยให้รากสามารถดูดน้ำ และอาหารเข้าสู่ต้น เป็นการแทนที่น้ำที่ระเหยออกจากใบ ทำให้ต้นได้อาหาร หรือปุ๋ยผ่านเข้าทางรากได้





          ใบของกล้วยไม้มีลักษณะแตกต่างกันตามสายพันธุ์ เช่น กล้วยไม้ในสกุลสแพโตกล๊อตทิส (Spathoglottis) มีลักษณะใบเป็นจีบ กล้วยไม้พญาไร้ใบ (Chiloschista usneoides LDL) มีลักษณะใบที่เล็กมากเกาะอยู่ตามกิ่งไม้ในที่ค่อนข้างร่ม มีรากหนาแน่นสีเขียว สามารถปรุงอาหารได้ ใบจึงเจริญออกมามีขนาดใหญ่กว่าหัวเข็มหมุดเล็กน้อย

           กล้วยไม้รองเท้านารี (Paphilopedilum) ลักษณะใบมีสีสรรงดงามหลายชนิดมีใบสีเขียวแก่สลับเขียวอ่อน กล้วยไม้ (Anoectochilus siamensis) ลักษณะใบมีสีน้ำตาลอมแดง และมีลายหรือกระสีขาวสวยงามมาก

ช่อดอก (Inflorescence)

          มีลักษณะแตกต่างกันไปอย่างกว้างขวา แล้วแต่สกุล และชนิดของกล้วยไม้ บางชนิดมีก้านช่อสั้นมาก บางชนิดมีก้านช่อยาว บางชนิดมีช่อดอกตั้งแข็ง ( Erect ) บางชนิดมีช่อดอกลักษณะโค้ง หรือห้อยหัวลง เช่น ช่อดอกกล้วยไม้ไอยเรศ ( Rhynchostylis retusa ) กล้วยไม้บางชนิดมีช่อดอกยาว และมีแขนงแยกออกไปอีก เช่น ช่อดอกกล้วยไม้ในสกุลเรแนนเธอร่า ( Renanthera ) ก้านซึ่งเป็นแกนกลางของช่อดอกจะประกอบด้วย ข้อ และปล้อง ช่อดอกของกล้วยไม้บางชนิ ดมีตาซึ่งอยู่ตามข้อของก้านที่เป็นแกนช่อสามารถแตก และเจริญออกมาเป็นต้นกล้วยไม้เล็กๆ ได้ เช่น ก้านช่อของกล้วยไม้สกุลฟาแลนด์น๊อฟซิส เป็นต้น

           ก้านช่อดอกเป็นส่วนที่อยู่ชิดกับลำต้น หรือลำลูกกล้วยออกไปถึงดอกแรก หรือดอกที่อยู่ใกล้โคนช่อมากที่สุด ช่อดอกชนิดที่มีลักษณะส่งก้านยาวโดยไม่แตกแขนงเรียกว่า เรซีม (Receme) ส่วนช่อดอกชนิดที่มีลักษณะแตกแขนง เรียกว่า แพนนิเคิ้ล (Panicle) กล้วยไม้ที่มีการเจริญเติบโต และรูปทรงอยู่ในประเภทไม่แตกกอนั้นช่อดอกเกิดจากตาที่อยู่เหนือข้อของลำต้นทางด้านข้างลำต้น หากลำต้นที่มีกาบใบห่อหุ้มอยู่ช่อดอกก็จะเจริญ และแทงผ่านกาบใบออกมา กล้วยไม้ประเภทแตกกอบางชนิดที่มีใบชิดกัน หรือเรียงซ้อนกันถี่มากอาจจะดูคล้ายช่อดอกแทงออกมาจากในของโคนใบ เช่น แวนด้าใบแบน สำหรับดอกของกล้วยไม้ประเภทแตกกอช่อดอกอาจจะเกิดจากตาซึ่งอยู่ส่วนต่าง ๆ ได้หลายส่วน เช่น กล้วยไม้สกุลแคทลียาจะส่งช่อดอกออกมาจากตาซึ่งอยู่ที่ส่วนปลายของลำลูกกล้วย กล้วยไม้สกุลหวายบางชนิดส่งช่อดอกออกมาจากข้อซึ่งอยู่ปลายลำลูกกล้วยหรือตามข้อที่อยู่ถัดลงมาทางส่วนโค้งของลำลูกกล้วยก็ได้

ช่อดอก

ดอก

          ดอกกล้วยไม้เป็นดอกสมบูรณ์เพศ คือ เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกันมีหน้าที่ในการสืบพันธุ์ ดอกมีลักษณะ คือ กลีบรองดอก คือกลีบชั้นนอก เป็นส่วนที่ห่อหุ้มป้องกันส่วนต่างๆ ในขณะที่มีสภาพเป็นตาดอกอยู่ มักมีลักษณะและสีสันคล้ายใบ กลีบดอก กล้วยไม้กลีบดอก 6 กลีบ แบ่งออกเป็น 2 ชั้น ชั้นนอก 3 กลีบ และชั้นใน 3 กลีบ กลีบชั้นนอกอยู่ข้างบนหนึ่งกลีบ ข้างๆ หรือข้างล่าง 2 กลีบ กลีบคู่ล่างนี้จะมีขนาดรูปร่างและสีสันเหมือนกัน แต่กลีบบนอาจแตกต่างออกไป สำหรับกลีบชั้นใน 3 กลีบ กลีบหนึ่งอยู่ข้างล่าง อีก 2 กลีบอยู่ข้างบน กลีบคู่นี้จะมีขนาด รูปทรง สีสัน เหมือนกัน ส่วนกลีบล่างจะเปลี่ยนไปโดยมีขนาดเล็กลง หรือโตขึ้น และมีสีสันผิดไปจากกลีบคู่บน กลีบคู่ล่างมีชื่อเรียกเฉพาะว่า ปาก หรือ กระเป๋า

 

เกสร

          คืออวัยวะที่แท้จริงของพืชมีดอก หรือเป็นส่วนประกอบ เพื่อช่วยให้การผสมพันธุ์กล้วยไม้เป็นพืชที่มีดอกสมบูรณ์เพศ คือ มีเกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน เกสรกล้วยไม้มีลักษณะเฉพาะ คือ ส่วนของก้านชูยอดเกสรเมียกับก้านชูอับเรณูของเกสรผู้ รวมเป็นอวัยวะอันเดียวกัน และยอดเกสรเมียกับเรณูติดอยู่ส่วนนี้ รวมเรียกส่วนนี้ทั้งหมดว่า “เส้าเกสร” ซึ่งจะยื่นออกมาจากจุดเดียวกันกับที่โคนกลีบดอก ติดอยู่ที่ปลายสุดของเส้าเกสรเป็นที่อยู่ของเรณู ซึ่งเป็นเชื้อเพศผู้

           เรณูนี้เป็นเม็ดขนาดเล็กมากมีฝาครอบปิดอยู่มิดชิด เรณูของกล้วยไม้มักเกาะกันเป็นก้อนเหนียวๆ เรียกว่า ก้อนเรณู ถัดจากปลายสุดลงมา เป็นแอ่งกลมเล็กมีน้ำเหนียวอยู่เต็มแอ่ง ส่วนนี้คือ แอ่งยอดเกสรตัวเมีย การผสมพันธุ์กล้วยไม้เริ่มแรกก้อนเรณูจะต้องเข้าไปในแอ่งน้ำเหนียว จะทำหน้าที่กระตุ้นให้เม็ดเรณูงอกเข้าไปผสมพันธุ์กับไข่ ในรังไข่ต่อไป บริเวณก้านดอกส่วนที่อยู่ชิดกับโคนกลีบดอก ซึ่งจะมีขนาดใหญ่กว่าก้านดอกที่ต่ำลงไป ก้านดอกส่วนนี้เป็นที่อยู่ของอวัยวะเพศเมียอีกส่วนหนึ่ง คือ รังไข่ ภายในรังไข่จะมีไข่อ่อนเป็นเม็ดเล็กๆ เกาะติดอยู่มากมาย ไข่อ่อนเหล่านี้เมื่อได้รับการผสมเชื้อเพศผู้จากเรณู ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงและเจริญเติบโตกลายเป็นเมล็ด ใช้สำหรับสืบพันธุ์ต่อไป

 

ผล หรือฝัก

         ผลหรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ฝักกล้วยไม้ หลังจากผสมเกสรเสร็จแล้วส่วนก้านดอกซึ่งเป็นรังไข่จะเปลี่ยนสีเป็นสีเขียว และเจริญเป็นฝักกล้วยไม้ภายในฝักมีเมล็ด ฝักกล้วยไม้มีอายุตั้งแต่ผสมเกสรไปจนถึงฝักแก่จะแตกต่างกันไปตามชนิดของกล้วยไม้ร่วมกับสภาพสิ่งแวดล้อมและความสมบูรณ์ขององค์ประกอบในการเจริญงอกงามด้วย
          
           กล้วยไม้บางชนิดอาจจะฝักแก่ได้ในระยะเวลาเพียงเดือนกว่าเท่านั้น แต่มีกล้วยไม้บางชนิดซึ่งมีฝักอยุ่กับต้นถึง 1- 1/2 ปีถึงจะแก่ ฝักกล้วยไม้ประเภทไม่แตกกอมักจะติดอยู่กับก้านในลักษณะตั้งเอาปลายชี้ขึ้นด้านบน แต่ฝักกล้วยไม้ประเภทแตกกอมักจะห้อยปลายลงด้านล่าง เช่น ฝักของกล้วยไม้สกุลหวาย เป็นต้น ถ้าพิจารณาที่ผิวฝักโดยรอบจะพบว่ามีตะเข็บอยู่ 3 แนวยาวตามความยาวของฝัก

          ในแต่ละฝักจะมีเมล็ดเป็นจำนวนมากคือตั้งแต่ 1,600 - 4,000,000 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะเรียวยาวหรือป่องตรงกลางคล้ายลูกรักบี้ เมล็ดมีขนาดเล็กมาก มีคัพภะแต่ไม่มีอาหารสะสม มีเปลือกบาง ๆ หุ้มเมล็ดอยู่ มีน้ำหนักเมล็ดประมาณ 0.0003-0.0014 มิลลิกรัม มีสีแตกต่างกันไป เช่น น้ำตาลเทา เหลืองหรือขาว และด้วยเหตุที่เมล็ดกล้วยไม้มีขนาดเล็กมากจึงทำให้ปลิวกระจายไปตามลมได้ง่าย และเป็นระยะทางไกล ๆ เมล็ดกล้วยไม้ขณะใกล้จะสุกถ้าเป็นกล้วยไม้ประเภทแตกกอจะมีสีเหลืองอมเขียวอ่อน ๆ หากเป็นกล้วยไม้ประเภทไม่แตกกอจะมีสีน้ำตาลไหม้

          กรณีที่ฝักกล้วยไม้ถูกปล่อยไว้กับต้นจนกระทั่งผิวเหี่ยว และเปลี่ยนสีเขียวเป็นสีเหลืองตะเข็บจะปริออกทำให้เมล็ดซึ่งมีลักษณะเป็นผงละเอียด และมีน้ำหนักเบารั่วไหลออกมา แล้วปลิวไปกับกระแสลมได้ง่าย

 

ส่วนประกอบต่าง ๆ ของกล้วยไม้

1. กลีบชั้นนอกกลีบบน - dosal sepa
2. กลีบชั้นนอกคู่ล่าง - lateral sepal
3. กลีบชั้นใน - petal
4. ปาก - labelum
5. เส้าเกสร - column
6. หูกระเป๋า - side lobe
7. ปลายปาก - midlobe
8. ฐานเส้าเกสร - column foot
9. เดือยดอก - mentum
10. รังไข่ - ovary
11. ไข่อ่อน - ovule
12. ก้านดอก - pedicel
13. ก้อนเรณู - pollinia

 

Top