การจำแนกกล้วยไม้
การจำแนกกล้วยไม้ตามระบบราก
การจำแนกประเภทของกล้วยไม้ตามความแตกต่างของระบบรากเป็นเกณฑ์นี้
นับว่าเป็นประโยชน์ต่อการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้อีกทางหนึ่ง
เพราะผู้ปลูกเลี้ยงจะได้ใช้หลักเกณฑ์เหล่านี้มาพิจารณาตัดสินใจเลือกใช้เครื่องปลูก
และภาชนะที่มีลักษณะ และคุณสมบัติให้เหมาะสมกับประเภทของระบบรากกล้ยไม้
นอกจากนี้ยังได้พิจารณาถึงการจัดสภาพของเครื่องปลูก
และวิธีการปลูกให้เหมาะสมกับการที่จะอำนวยให้รากกล้วยไม้เจริญแข็งแรงอีกด้วย
เนื่องจากกล้วยไม้เป็นพันธุ์ไม้วงศ์ใหญ่
และมีลักษณะตลอดจนนิสัยที่แตกต่างกันอย่างแพร่หลาย
ทำให้สามารถจำแนกประเภทของกล้วยไม้ตามความแตกต่างของระบบรากได้
4 ประเภทดังนี้
|
 |
ระบบรากดิน
|
|
กล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากดิน
เป็นกล้วยไม้ที่มีระบบรากเกิดจากหัวที่อวบน้ำซึ่งอยู่ใต้ดิน
ตัวรากจะมีน้ำมาก กล้วยไม้ประเภทนี้มักจะพบอยู่ตามธรรมชาติ
ในพื้นที่ที่มีสภาพของฤดูกาลมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
เช่น ในเขตที่มีฤดูฝนซึ่งมีฝนตกชุก
และมีฤดูแล้งซึ่งแห้งสลับกัน เมื่อถึงฤดูฝน
หัวก็จะแตกหน่อ และใบอ่อนชูพ้นขึ้นมาบนผิวดิน
ส่วนหัวนั้นก็จะเจริญเป็นหัวใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก
และอาจจะออกดอกในตอนปลายฤดู เมื่อพ้นฤดูฝนไปแล้วก็จะทรุดโทรม
และแห้งไป คงเหลือแต่หัวซึ่งอวบน้ำ
และมีอาหารสะสมอยู่ฝังอยู่ในดิน มีการพักตัว
และสามารถทนความแห้งแล้ง หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่ค่อนข้างรุนแรง
เช่น ร้อนจัด เย็นจัด ได้เป็นอย่างดี
จนกระทั่งถึงฤดูที่มีน้ำ มีแสงสว่าง
และอุณหภูมิเหมาะสมก็จะเจริญเป็นหน่อ
และใบอ่อนอีกครั้งหนึ่ง
กล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากดินที่พบในประเทศไทยมีหลายสกุล
เช่น สกุลฮาบีนาเรีย (Habenaria)
เพคไทลิส
(Pecteilis)
และแบรคคีคอไรทิส
(Brachycorythis) ซึ่งมักพบการเรียกชื่อตามวรรณคดีไทยในยุคก่อน
เช่น เท้าคูลู และดอกนางอั้ว นอกจากนี้ยังมีกล้วยไม้บางชนิดที่พบขึ้นอยู่กับพื้นดินแต่รากไม่มีลักษณะอวบน้ำ
แต่ลำลูกกล้วยยังอยู่ใต้ผิวดิน เช่น
กล้วยไม้กลุ่มหนึ่งในสกุลอยูโลเฟีย
(Eulophia)
เท่าที่เห็นชัดเจนคือ อยูโลเฟีย มาโครบัลบอน
(Eulophia macrobulbon)
เป็นต้น
|
|
กล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากกึ่งดิน
กล้วยไม้ประเภทนี้ไม่มีหัวอวบน้ำเหมือนประเภทที่มีระบบรากแบบรากดิน
มักพบตามธรรมชาติในสภาพที่ขึ้นอยู่บนพื้นดิน
แต่รากไม่มีลักษณะอวบน้ำ รากสามารถเก็บสะสมน้ำได้ดีพอสมควร
รากขนอ่อนแทบจะไม่มีเลย บางครั้งจะพบว่าใบอาจจะหลุดร่วงไปในฤดูแล้งจนเหลือแต่ตอ
แต่ตาซึ่งอยู่ที่ตอก็ยังดีอยู่ เมื่อได้รับความชี้น
และสภาพแวดล้อมหมาะสมก็จะแตกหน่อใหม่ได้อีก
หากมีลำลูกกล้วยก็อาจจะอยู่ใต้ผิวดิน
หรือเหนือผิวดินก็ได้ กล้วยไม้ประเภทนี้มีระบบรากค่อนข้างละเอียด
ส่วนใหญ่มักอาศัยอยู่ตามพื้นที่ซึ่งมีหินผุ
และใบไม้ผุตกทับถมอยู่ที่พื้นดิน
และจะอาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นอาหารด้วย
กล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากกึ่งดิน
ได้แก่ กล้วยไม้สกุลรองเท้านารี สกุลเอื้องพร้าว
(Phaius)
สกุลฮาบีนาเรีย
(Habenaria)
สกุลสเปโธกล๊อตลิส (Spathoglotlis)
และกล้วยไม้บางชนิดในสกุลอยูโลเฟีย
(Eulophia)
|
|
|
 |
ระบบรากกึ่งอากาศ
|
|
กล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากกึ่งอากาศ
หมายถึงกล้วยไม้ซึ่งโดยธรรมชาติจะขึ้นอยู่บนพื้นดิน
บนหิน และบนต้นไม้ หากพบขึ้นอยู่บนพื้นดินก็จะอยู่บนพื้นดินซึ่งมีใบไม้ผุตกทับถมกันค่อนข้างหนา
เนื่องจากเป็นสภาพที่โปร่งช่วยให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก
หรือเป็นพื้นที่สูงที่ไม่ทำให้น้ำขังอยู่นาน
กล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบนี้มีลักษณะ
และคุณสมบัติเอนเอียงไปทางรากอากาศมากยึ่งขึ้น
กล่าวคือ เซลล์ผิวของรากมีชั้นเซลล์ที่หนา
และมีลัษณะคล้ายฟองน้ำ ผิวนอกเกลี้ยงไม่มีขน
มีคุณสมบัติคล้ายฟองน้ำคือเก็บ และดูดน้ำได้มาก
นอกจากนั้นยังสามารถนำน้ำไปตามเซลล์ผิวได้ตลอดความยาวของราก
ดังที่พบเสมอ ๆ ตามธรรมชาติว่าแม้มีรากได้รับความชื้นเพียงบางส่วนก็ตากแต่กล้วยไม้สามารถดำรงชีวิต
และเจริญอยู่ได้ กล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากกึ่งอากาศนี้มักมีรากแขนงใหญ่หยาบอยู่กันอย่างหนาแน่น
ไม่มีรากขนอ่อน รากมีขนาดเล็กกว่ารากอากาศ
และมีแขนงรากเล็กกว่า และหนาแน่นกว่า
นอกจากนี้รากส่วนมากยังซ่อนตัวอยู่ในเครื่องปลูก
มีส่วนน้อยที่โผล่ออกมรับอากาศ และแสงภายนอกภาชนะปลูก
และไม่ชอบสภาพเครื่องปลูกที่แน่นทึบ
หรือเปียกแฉะนานเกินไปอันเป็นเหตุให้รากได้รับอากาศไม่เพียงพอ
กล้วยไม้ที่มมีระบบรากแบบนี้ได้แก่
กล้วยไม้สกุลแคทลียา สกุลหวาย สกุลออนซิเดียม
และสกุลซิมบิเดียม เป็นต้น
|
|
กล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากรากอากาศ
กล้วยไม้ที่มีระบบรากเป็นรากอากาศอย่างแท้จริงนั้น
มักพบขึ้นอยู่ตามต้นไม้ รากจะมีขนาดใหญ่
และหยาบ แต่ถ้าใช้มือหักรากสดออกดูจะพบว่าตัวรากจริง
ๆ เป็นแกนเล็ก และแข็ง ส่วนผิวรากหนา
รากจะทำหน้าที่ดูดน้ำ เก็บน้ำ และนำน้ำไปตามรากได้เป็นอย่างดี
ทำให้สามารถทนต่อความแห้งแล้งได้ดีแม้ว่าจะไม่ถูกน้ำ
หรือไม่รดน้ำเลยเป็นระยะเวลานาน ๆ
ก็ตาม กล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากอากาศนี้
หลังปลูกใหม่ ๆ รากจะพยายามเกาะเครื่องปลูก
และภาชนะ เช่น กระถางดินเผา หรือกระเช้าไม้ที่ใช้ปลูก
เพื่อเกาะยึดลำต้นให้มั่นคง และดูดความชื้นในภาชนะ
จนกระทั่งสามารถดูดเก็บความชื้นได้เพียงพอ
ต่อจากนั้นรากก็จะพยายามพุ่งยื่นออกนอกภาชนะ
หรือกระถางที่ปลูกไปสู่อากาศ และอาจจะเจริญแตกกิ่งก้านสาขาออกไปอีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมือต้นเจริญเติบโตแข็งแรงดี
จะมีการแตกรากออกไปอย่างกว้างขวาง
กล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากอากาศนี้จะไม่ชอบอยู่ในสภาพที่เปียกแฉะนานเกินไป
แต่ชอบสภาพที่โปร่งทำให้รากสามารถแห้งได้รวดเร็วหลังจากเปียกน้ำ
นอกจากนั้นอาจพบว่าบางส่วนของรากเช่นที่ปลายรากสด
ๆ มีสีเขียวของคลอโรฟีลล์เห็นได้ชัดเจน
ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารากอากาศสามารถทำหน้าที่ปรุงอาหารได้เช่นเดียวกับใบเมื่อมีแสงสว่าง
เพราะฉะนั้นรากประเภทนี้จึงไม่หลบแสงสว่างเหมือนรากต้นไม้ดินทั่ว
ๆ ไป กล้วยไม้ที่มีระบบรากอากาศ ได้แก่
กล้วยไม้สกุลแวนด้า สกุลช้าง สกุลกุหลาบ
สกุลแมลงปอ สกุลเข็ม และสกุลเรแนนเธอร่า
|
 |
ระบบรากอากาศ
|
|
|
การจำแนกกล้วยไม้ตามลักษณะการเจริญเติบโต
และรูปทรง
การจำแนกกล้วยไม้ตามลักษณะการเจริญเติบโต
และรูปทรงนั้นนับว่าเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการขยายพันธุ์กล้วยไม้ด้วยการแบ่งแยกส่วนต่าง
ๆ ของกล้วยไม้ไปปลูกเพื่อเพิ่มปริมาณ ในการจัดหาภาชนะปลูก
หรือวิธีปลูกก็ดีจำเป็นต้องทราบเสียก่อนว่ากล้วยไม้ที่กำลังจะขยายพันธุ์
หรือจะปลูกนั้นมีการเจริญเติบโต และรูปทรงอยู่ในประเภทใด
จึงจะสามารถจัดวิธีการปลูกให้เหมาะสมกับลักษณะของการเจริญเติบโตได้
การจำแนกกล้วยไม้โดยอาศัยหลักเกณฑ์นี้ สามารถจำแนกได้
2 ประเภท คือ |
ประเภทไม่แตกกอ
(Monopodial)
เป็นกล้วยไม้ที่มีการเจริญเติบโตขึ้นไปทางส่วนยอด
คือตาที่ยอดจะแตกใบใหม่เจริญขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนโคนต้นจะออกรากไล่ตามขึ้นไป
เมื่อกล้วยไม้มีอายุมากขึ้นส่วนของโคนจะแห้งตายไล่ยอดขึ้นไป
กล้วยไม้ประเภทนี้มีระบบรากแบบรากอากาศ
การเรียงตัวของใบเป็นแบบซ้อนทับกัน
และตัวใบต่างมีข้อต่อกับกาบใบ
ส่วนมากเนื้อใบหนาแบน บางสกุลมีใบเป็นก้านกลมดูคล้ายกิ่ง
กลีบรองดอกคู่ล่างมักเชื่อมติดกัน
ทำให้เกิดเป็นรูปคางขึ้น
กลีบกระเป๋าต่างติดอยู่ตรงโคนเส้าเกสรและมักจะมีเดือยหรือไม่มีก็เป็นรูปถุงในหลอดเดือย
หรือถุงนี้มักมีตุ่มหรือติ่งปรากฏอยู่เสมอ
กลุ่มเรณูมีจำนวน 2 กลุ่ม
มีก้านส่งยาวและกลุ่มเรณูหนึ่งๆ
จะมีร่องความยาวปรากฎให้เห็น
การออกดอกจะออกที่ตาตามข้อของลำต้นเท่านั้นไม่ออกที่ยอด
ลักษณะการถือฝักและเมล็ด
ปลายฝักจะตั้งชี้ขึ้น เมล็ดที่สมบูรณ์จะมีสีน้ำตาล
ส่วนเมล็ดลีบมีสีขาว กล้วยไม้ที่จัดอยู่ในประเภทไม่แตกกอได้แก่
กล้วยไม้ในสกุลแวนด้า สกุลเข็ม
สกุลช้าง สกุลกุหลาบ สกุลเสือโคร่ง
สกุลม้าวิ่ง สกุลแมลงปอ สกุลเรแนนเธอร่าและสกุลแวนด๊อฟซิส
|
 |
ประเภทไม่แตกกอ
|
|
|
|
 |
ประเภทแตกกอ
|
|
|
ประเภทแตกกอ
(Sympodial)
เป็นกล้วยไม้ประเภทที่มีรูปทรงและการเจริญเติบโตคล้ายกับพืชที่แตกกอทั่วไป
คือในต้นหนึ่งหรือกอหนึ่งจะประกอบด้วยต้นย่อยหลายต้น
ต้นแท้จริงของกล้ายไม้ประเภทนี้จะอยู่ในเครื่องปลูก
เช่น กล้วยไม้ในสกุลรองเท้านารี
อาจมีลำต้นที่เปลี่ยนแปลงรูปร่างโผล่ยื่นออกมาซึ่งมักบวมเป่ง
และทำหน้าที่สะสมอาหาร ต้นส่วนนี้เรียกว่า
"ลำลูกกล้าย" เช่น กล้ายไม้ในสกุลหวาย
สกุลแคทลียา เป็นต้น กล้วยไม้ประเภทแตกกอมีระบบรากทั้งที่เป็นรากดิน
รากกึ่งดินและรากกึ่งอากาศ กล้วยไม้ดินมีการเรียงตัวของใบม้วนซ้อนเวียนกันไป
ส่วนกล้วยไม้อากาศเรียงซ้อนทับกัน
การออกดอกบางชนิดออกดอกที่ยอด บางชนิดออกดอกที่ตาข้างตามข้อของลำลูกกล้วย
บางชนิดออกดอกได้ทั้งที่ตายอดและตาข้าง
บางชนิดออกดอกเฉพาะลำลูกกล้วยที่ทิ้งใบหมดแล้ว
โคนเส้าเกสรยื่นยาวออกไปและเชื่อมตัดกันกับกลีบรองดอก
ลักษณะการถือฝักและเมล็ด ปลายฝักจะห้อยชี้ดิน
เมล็ดที่สมบูรณ์เมื่อแก่จะมีสีเหลือง
ส่วนเมล็ดลีบมีสีขาว กล้วยไม้ที่จัดอยู่ในประเภทแตกกอ
ได้แก่ กล้วยไม้สกุลรองเท้านารี
สกุลหวาย สกุลแคทลียา สกุลออนซิเดี้ยม
และสกุลแกรมมาโตฟิลลั่ม
|
|
|