ประวัติการปลูกกล้วยไม้ในประเทศไทย
คนไทยได้รู้จัก
และนำกล้วยไม้พันธุ์ท้องถิ่นมาปลูก และใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันมาเป็นเวลานานแล้ว
แต่ไม่ได้มีบันทึกไว้เป็นหลักฐาน โดยมักเป็นการนำกล้วยไม้ป่ามาปลูกเลี้ยงเป็นงานอดิเรก
ต่อมามีการนำพันธุ์กล้วยไม้จากต่างประเทศเข้ามา
และขยายการปลูกเลี้ยงมากขึ้น โดย Thammasiri
( 1997 ) ได้รายงานว่าชาวต่างชาติที่มาทำงานในประเทศไทยได้นำกล้วยไม้ที่มีถิ่นกำเนิดจากที่อื่นเข้ามาด้วยตั้งแต่
พ.ศ. 2456 และปลูกเลี้ยงเป็นงานอดิเรก หรือซื้อขายกันในวงแคบ
ๆ ภายในประเทศ และได้แพร่กระจายเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อย
ๆ
จนกระทั่งได้มีเจ้านายพระองค์หนึ่ง
ซึ่งมีบทบาทสำคัญในสมัยนั้น คือ กรมนครสวรรค์วรพินิจ
ได้สนพระทัยในการเลี้ยงกล้วยไม้เป็นงานอดิเรก
และได้ทรงศึกษาจากตำราต่างประเทศ ซึ่งรังกล้วยไม้ของพระองค์ท่านได้เป็นที่รู้จักกันในสมัยนั้นในนาม
กล้วยไม้วังบางขุนพรหม เและในปี พ.ศ. 2460
พระองค์ท่านได้ทรงแปล และจัดพิมพ์หนังสือชื่อ
ตำราเล่นกล้วยไม้ ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับกล้วยไม้เป็นภาษาไทยเล่มแรก
แต่การเล่นกล้วยไม้ในสมัยนั้นยังคงมีการหมุนเวียนอยู่ในวงผู้มีฐานะดี
เนื่องจากยังไม่มีผู้ใดริเริ่มในการวางแผน
และดำเนินการหาช่องทางที่จะพัฒนาให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
จนกระทั่งการปลูกกล้วยไม้ซึ่งอยู่แล้วได้ทรุดลงไปเนื่องจากสภาพสังคมของประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงไป
ในปี
พ.ศ. 2477 ได้มีการนำหวายพันธุ์ปอมปาดัวร์
( Dendrobium Pompadour
) ซึ่งคนไทยเรียกกันติดปากว่า หวายพันธุ์มาดาม
เข้ามาปลูกเลี้ยง และเป็นพันธุ์ที่เจริญเติบโต
และให้ผลผลิตดี มีอายุการปักแจกันนานเหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย
ทำให้วงการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ตัดดอกเป็นการค้าเฟื่องฟูขึ้น
ในปี
พ.ศ. 2490 ศาสตราจารย์ระพี สาคริก ซึ่งท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งวงการกล้วยไม้ไทย
เพราะท่านได้ศึกษาค้นคว้า และให้การฝึกอบรมสอนวิชากล้วยไม้
ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นครั้งแรกของประเทศไทย
และในปีนี้ได้มีการส่งออกดอกกล้วยไม้ไปต่างประเทศ
ประมาณ และมูลค่าการส่งออกก็เพิ่มมากขึ้นจนถึงปัจจุบัน
ในปี
พ.ศ. 2500 ได้มีการสถาปนาชมรมกล้วยไม้เป็นสมาคมกล้วยไม้แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
และในปัจจุบันนี้ได้มีการจัดทำมาตราฐานกล้วยไม้ของประเทศไทยในสกุลสำคัญที่มีการส่งออกอยู่เสมอ
ๆ เช่น หวาย, ออนซิเดียม, ม็อคคาร่า, อะแรนด้า
และแวนด้า เพื่อช่วยให้การค้ากล้วยไม้มีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น
|